คุณได้เรียนรู้วิธีในการใช้เครื่องมือ และกลยุทธ์การซื้อขายไปแล้ว รวมถึงได้ศึกษาว่าเมื่อไหร่ที่ควรจะเข้า/ออกจากตลาด อย่างไรก็ตามในตอนแรกคุณอาจสับสนว่า จะเลือกเทรดสินทรัพย์ใดดี บทความนี้จะช่วยให้คุณทราบว่าตราสารฯ ในการซื้อขายแบบใดเหมาะที่สุดสำหรับคุณ! มาดูกันเลย!
ก่อนอื่นเลยเราสามารถแบ่ง สินทรัพย์ทางการเงินทั้งหมดอย่างคร่าวๆ ได้เป็นสองกลุ่ม ซึ่งก็คือ สินทรัพย์ปลอดภัย และ สินทรัพย์เสี่ยง โดยทั่วไปแล้วสินทรัพย์ปลอดภัย มีแนวโน้มที่จะพุ่งขึ้น ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไม่แน่นอน และไม่มีเสถียรภาพ ในกรณีนี้เทรดเดอร์มักจะพูดกันว่า “ตลาดไม่มีความเชื่อมั่นต่อความเสี่ยง” หรือ “การไม่ชอบความเสี่ยงนั้นมีอำนาจเหนือกว่าในตลาด” เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น นักลงทุนมักมองหาสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด ในการนำเงินทุนของตนไปหลบไว้ ดังนั้นพวกเขาจึงชอบทรัพย์สินที่ปลอดภัย อย่างโลหะมีค่า เช่น ทองคำ, เงิน, ทองคำขาว และสกุลเงินที่น่าเชื่อถือที่สุด ได้แก่ ดอลลาร์สหรัฐ (USD), เยนญี่ปุ่น (JPY) และฟรังก์สวิส (CHF) ทำไมสิ่งนี้จึงเกิดขึ้นได้? โลหะมีค่ามีประวัติอันยาวนาน และเทรดเดอณ์เชื่อว่าในอนาคต จะยังคงมีมูลค่าสูงอยู่ JPY และ CHF ถือว่ามีความน่าเชื่อถือ เนื่องจากฐานะทางการเงินที่มั่นคงของญี่ปุ่น และสวิตเซอร์แลนด์ สกุลเงิน USD นั้นเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในบางโอกาส เนื่องมาจากความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
มาดูสินทรัพย์เสี่ยงกัน โดยประกอบไปด้วย ดอลลาร์ออสเตรเลีย, ดอลลาร์นิวซีแลนด์, ปอนด์อังกฤษ, น้ำมัน และดัชนีหุ้น อย่าง S&P 500, NASDAQ และ Down Jones นักลงทุนนิยมลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงมากกว่า เมื่อตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจในประเทศออกมา มากเกินความคาดหมาย ทางธนาคารและองค์กรหลัก ๆ เผยการคาดการณ์ในแง่บวกและข่าวดีอื่นๆ ที่ทำให้ทุกคนอารมณ์ดีขึ้น เมื่อเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น เทรดเดอร์และนักลงทุนต่างก็ต้องการให้เงินทำงาน ดังนั้นพวกเขาจึงแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น และอย่างที่เราทราบกันดีว่า ผลตอบแทนที่สูงขึ้นมักมาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงขึ้น นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมพวกเขาถึงได้ ทำการซื้อสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงกว่า
ก็นะ มันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าสกุลเงินคืออะไร แล้วดัชนีคืออะไรกันล่ะ? มาค้นหาคำตอบกัน ดัชนีนั้นเป็นตะกร้าของหุ้นใบหนึ่ง ที่บรรจุหุ้นแต่ละตัวรวมกันไว้ ซึ่งมักถูกจัดอันดับโดยสถาบันอิสระ เช่น ธนาคารใหญ่ๆ หรือบริษัททางการเงิน ดัชนีหุ้นที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดคือ S&P 500 ซึ่งประกอบไปด้วยหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ถึง 500 แห่งในสหรัฐฯ ดัชนีนี้แสดงให้เห็นถึงผลการดำเนินงานของตลาดหุ้น จากความเสี่ยงและรายได้ของบริษัทเหล่านี้ เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ใช้เป็นตัวชี้วัดหลัก ในการวัดความเชื่อมั่นของตลาด

สิ่งหนึ่งที่คุณควรจำไว้คือ ในการซื้อขายดัชนีที่กล่าวไปข้างต้น คุณควรเลือกสัญญาการซื้อขายส่วนต่าง (CFDs) ตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการซื้อขาย S&P 500 ในเดือนกันยายน คุณต้องเลือก CFD ซึ่งมีชื่อว่า S&P 500-20U โปรดสังเกตว่าสัญญานี้จะหมดอายุ ในวันที่ 18 กันยายน ดังนั้นหากต้องการซื้อขายดัชนีหุ้นนี้ต่อไป ตั้งแต่วันที่ 18 กันยายน คุณจะต้องเลือก CFD อื่น อย่าง S&P 500-20Z ซึ่งจะหมดอายุในวันที่ 12 ธันวาคม ดังนั้นการซื้อขายครั้งแรกอาจเสร็จสิ้น ในวันที่ 8 กันยายน และการซื้อขายครั้งสุดท้าย ในวันที่ 18 ธันวาคม คุณสามารถตรวจสอบวันหมดอายุได้ใน MetaTrader โดยคลิกขวาด้วยเมาส์ของคุณที่ CFD ที่ต้องการ แล้วเลือก ‘ข้อมูลจำเพาะ’
ตอนนี้คุณมีความรู้พื้นฐาน เกี่ยวกับสินทรัพย์ทางการเงินใน Forex แล้ว เรามาดูกฎของตลาดที่เทรดเดอร์ทุกคนควรรู้กัน
เคล็ดลับการซื้อขายปี 2020: ทำไมปีนี้ถึงพิเศษนัก?
เป็นเรื่องดีที่ได้ทราบว่าทองคำ (XAU/USD) นั้น มีแนวโน้มที่จะทำได้ดีกว่า USD และ JPY ในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอย เพราะอะไรน่ะเหรอ? โดยทั่วไปธนาคารกลางจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ มันเป็นการเปิดโอกาสให้กับเหล่าผู้ที่กู้ยืมเงิน เนื่องจากพวกเขาจะได้ชำระหนี้น้อยลง ในขณะเดียวกันผลตอบแทนที่ลดลง ก็ไม่เป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ต้องการฝากเงิน เพราะจะได้รับเงินน้อยลง
จริงๆ แล้วไวรัสโคโรนาได้เพิ่มกฎใหม่เข้าสู่ตลาด หนึ่งในนั้นคือการที่ราคาทองคำ เริ่มเคลื่อนไหวตามราคาหุ้น นักวิเคราะห์ให้คำอธิบายดังนี้ว่า: เทรดเดอร์พยายามปกป้อง การลงทุนที่มีความเสี่ยงในหุ้น โดยการซื้อทองคำที่ปลอดภัยในเวลาเดียวกัน ซึ่งสถานการณ์ในปัจจุบันนั้นยุ่งเหยิงจริงๆ ในอีกแง่หนึ่งตลาดนั้นมีความไม่แน่นอน เนื่องจาก Covid-19 ในทางกลับกันก็มีเรื่องความหวังของการมีวัคซีน และข่าวทางเศรษฐกิจในเชิงบวก ซึ่งช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นของตลาดได้ อีกทั้งทุกวันนี้ไม่สามารถคาดเดาตลาดได้เลย และตลาดก็ยังมีความผันผวนอยู่อีกด้วย ดังนั้นนักลงทุนจึงปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ และได้ทำการเปลี่ยนแปลงกฎโดยไม่ได้เจตนา เป็นผลให้ทองคำมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหว ไปในทิศทางเดียวกันกับตลาดหุ้น โดยเฉพาะ S&P 500 ที่เราได้กล่าวถึงก่อนหน้านี้ จำไว้ว่าตลาดนั้นค่อนข้างที่จะมีความไม่แน่นอน คุณควรติดตามข่าวสารล่าสุดอยู่เสมอเพื่อตามให้ทัน!
สิ่งสำคัญคือต้องติดตาม ข่าวทางเศรษฐกิจที่สำคัญ, แถลงการณ์จากธนาคารกลาง และรัฐบาล และเหตุการณ์อื่นๆ ในตลาด ทำไมน่ะเหรอ? พวกมันมักจะขับเคลื่อนราคาน่ะสิ ตัวอย่างเช่น หาก GDP ของอังกฤษ ออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ สกุลเงินปอนด์ของอังกฤษ (GBP) จะพุ่งขึ้น มิฉะนั้น GBP จะร่วงลง โปรดทราบว่า โดยทั่วไปแล้วมันได้ผลในเกือบทุกกรณี แต่ก็ไม่เสมอไป บางครั้งปฏิกิริยาของตลาดก็ค่อนข้างจะเรียบร้อย ดังนั้นนี่คือเคล็ดลับอีกประการหนึ่งคือ จับความเคลื่อนไหวของตลาดโดยรวม แล้วเข้าร่วมกระแสเลย!
สิ่งที่น่าสนใจคือสินทรัพย์บางรายการ มีความสัมพันธ์กันอย่างมาก เนื่องจากเศรษฐกิจหรือสถานที่ตั้งของพวกมัน เช่น AUD และ NZD เมื่อพวกมันทำการซื้อขายกับ USD หรือ EUR นอกจากนี้มันเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทราบถึง ภูมิหลังทางเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ ด้วย ตัวอย่างที่ดีที่สุดคือสกุลเงินดอลลาร์แคนาดา มันมีความไวต่อราคาน้ำมันมาก ราคาของ CAD และราคาน้ำมัน มักจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน เนื่องจากเศรษฐกิจของแคนาดานั้น เป็นหนึ่งในผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก นอกจากนี้เศรษฐกิจของจีนและออสเตรเลีย ยังมีความเชื่อมโยงกันอย่างมาก เนื่องจากความสัมพันธ์ทางการค้าของประเทศ ดังนั้นข่าวทางเศรษฐกิจของจีน จึงมีผลกระทบอย่างมาก ไม่เพียงแต่ต่อสกุลเงินหยวนของจีนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสกลุเงินดอลลาร์ออสเตรเลียด้วย
โลกของ Forex นั้นใหญ่โต และมีความหลากหลายอย่างมาก การสำรวจและการวิเคราะห์มันนั้นน่าสนใจอย่างมาก หากคุณเข้าใจว่าทุกอย่างเชื่อมโยงกันอย่างไร โลกแห่ง Forex จะยิ่งทำให้คุณมั่นใจในการซื้อขายมากขึ้น!